Supon News

หน้าเว็บ

  • supon
  • facebook

วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2564

โลโก้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์

 



เขียนโดย สุพล พันอิน ที่ 19:05 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2563

อาการเฝ้าระวังโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019


เขียนโดย สุพล พันอิน ที่ 17:55 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2563

อันตราย PM2.5

PM2.5 คืออะไร? อันตรายและการป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก

 

อากาศที่เราหายใจเข้าไปไม่ใช่อากาศที่บริสุทธิ์ เพราะมีฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่าง PM2.5 รวมถึงเชื้อโรค และสารปนเปื้อนต่างๆ ที่มองไม่เห็นอีกมากมาย ซึ่งโดยปกติแล้วจมูกของเราจะมีขนจมูกที่ช่วยกรองฝุ่นละอองต่างๆ ก่อนเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ทำให้ร่างกายไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ปัจจุบันในประเทศไทยได้เกิดปัญหามลภาวะทางอากาศที่รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง PM2.5 ซึ่งจมูกไม่สามารถกรองฝุ่นนี้ไม่ให้เข้าสู่ร่างกายได้ ทำให้ต้องหาวิธีหลีกเลี่ยงและป้องกัน เพราะอาจส่งเป็นอันตรายและผลเสียต่อสุขภาพร่างกายอย่างมากในภายหลัง

PM2.5 คืออะไร?

PM2.5 คือ ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน เทียบได้ว่ามีขนาดประมาณ 1 ใน 25 ส่วนของเส้นผ่านศูนย์กลางเส้นผมมนุษย์ เล็กจนขนจมูกของมนุษย์ที่ทำหน้าที่กรองฝุ่นนั้นไม่สามารถกรองได้ จึงแพร่กระจายเข้าสู่ทางเดินหายใจ กระแสเลือด และเข้าสู่อวัยอื่นๆ ในร่างกายได้ ตัวฝุ่นเป็นพาหะนำสารอื่นเข้ามาด้วย เช่น แคดเมียม ปรอท โลหะหนัก และสารก่อมะเร็งอื่นๆ

สาเหตุที่ทำให้เกิดฝุ่น PM2.5

ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) มาจากสองแหล่งกำเนิดใหญ่ๆ คือ
  1. แหล่งกำเนิดโดยตรง ได้แก่ การเผาในที่โล่ง การคมนาคมขนส่ง การผลิตไฟฟ้า อุตสาหกรรมการผลิต
  2. การรวมตัวของก๊าซอื่นๆ ในบรรยากาศ โดยเฉพาะซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) รวมทั้งสารพิษอื่นๆ ที่ล้วนเป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ เช่น สารปรอท (Hg), แคดเมียม (Cd), อาร์เซนิก (As) หรือโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs)

อันตรายและผลกระทบต่อสุขภาพจาก PM2.5

ร่างกายของผู้ที่แข็งแรงเมื่อได้รับฝุ่น PM2.5 อาจจะไม่ส่งผลกระทบให้เห็นในช่วงแรกๆ แต่หากได้รับติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือสะสมในร่างกาย สุดท้ายก็จะก่อให้เกิดอาการผิดปกติของร่างกายในภายหลัง โดยแบ่งได้เป็นผลกระทบทางร่างกาย และผลกระทบทางผิวหนัง
ผลกระทบทางสุขภาพ
  • เกิดอาการไอ จาม หรือภูมิแพ้
  • ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ฝุ่นอยู่แล้ว จะยิ่งถูกกระตุ้นให้เกิดอาการมากขึ้น
  • เกิดโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง
  • เกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจเรื้อรัง
  • เกิดโรคปอดเรื้อรัง หรือมะเร็งปอด
ผลกระทบทางผิวหนัง
  • มีผื่นคันตามตัว
  • ปวดแสบปวดร้อน มีอาการระคายเคือง
  • เป็นลมพิษ ถ้าเป็นหนักมากอาจเกิดลมพิษบริเวณใบหน้า ข้อพับ ขาหนีบ
  • ทำร้ายเซลล์ผิวหนัง ทำให้ผิวอ่อนแอ เหี่ยวย่นง่าย

ระดับความรุนแรงของ PM2.5

องค์การอนามัยโลก หรือ World Health Organization (WHO) กำหนดให้ฝุ่น PM2.5 จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 ของสารก่อมะเร็ง ประกอบกับรายงานของธนาคารโลก (World Bank) ที่ระบุว่า ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศมากถึง 50,000 ราย ส่งผลไปถึงระบบเศรษฐกิจ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องสูญเสียเกี่ยวเนื่องกับค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยจากมลพิษทางอากาศนี้

เกณฑ์ของดัชนีคุณภาพอากาศของประเทศไทย

สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าเวลาไหนที่คุณภาพอากาศเริ่มเป็นอันตรายต่อสุขภาพ สามารถตรวจเช็คดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index : AQI) ได้ที่เว็บไซต์ของกรมควบคุมมลพิษ โดยประเทศไทยแบ่งดัชนีคุณภาพอากาศเป็น 5 ระดับ ตั้งแต่ 0 ถึง 201 ขึ้นไป โดยใช้สีเป็นตัวเปรียบเทียบระดับของผลกระทบต่อสุขภาพ
AQI PM2.5 (มคก./ลบ.ม.) คุณภาพอากาศ สีที่ใช้ ข้อความแจ้งเตือน
0 - 25 0 - 25 ดีมาก ฟ้า เหมาะสำหรับกิจกรรมกลางแจ้งและการท่องเที่ยว
26 - 50 26 - 37 ดี เขียว สามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งและการท่องเที่ยวได้ตามปกติ
51 - 100 38 - 50 ปานกลาง เหลือง สามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งได้ตามปกติ แต่ถ้าเป็นผู้ที่ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ หากมีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ และระคายเคืองตา ไม่ควรทำกิจกรรมกลางแจ้งนาน
101 - 200 51 - 90 เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ส้ม ควรเฝ้าระวังสุขภาพ ถ้ามีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ระคายเคืองตา ไม่ควรทำกิจกรรมกลางแจ้งนาน หรือใช้อุปกรณ์ป้องกัน ส่วนผู้ที่ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ แล้วมีอาการทางสุขภาพ เช่น ไอ หายใจลำบาก ตาอักเสบ แน่นหน้าอก ปวดศีรษะ หัวใจเต้นไม่เป็นปกติ คลื่นไส้ อ่อนเพลีย ควรปรึกษาแพทย์
201 ขึ้นไป 91 ขึ้นไป มีผลกระทบต่อสุขภาพ แดง ทุกคนควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งทุกอย่างหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็น หากมีอาการทางสุขภาพควรปรึกษาแพทย์

สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในประเทศไทย

ข่าวเรื่องฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน ส่งผลให้คุณภาพอากาศอยู่ในระดับปานกลางถึงเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ เป็นข่าวที่เกิดขึ้นบ่อยในระยะ 1-2 ปีมานี้ และประเทศไทยมักถูกจัดอยู่ในลำดับต้นๆ ของเมืองที่มีคุณภาพอากาศแย่ที่สุดในโลก โดยการจัดอันดับตามมาตรฐานของประเทศสหรัฐอเมริกา (US AQI) ซึ่งสามารถดูข้อมูลนี้ได้จากแอปพลิเคชัน Air Visual
แหล่งกำเนิด PM2.5 หลักๆ ในประเทศไทย มี 3 อย่าง คือ รถยนต์ การเผาในที่โล่งแจ้ง และสภาพความกดอากาศต่ำ ซึ่งวิกฤตฝุ่น PM2.5 เมื่อช่วงเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงคมนาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน กรุงเทพมหานคร และสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ขอความร่วมมือลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวแต่ไม่ได้ผลที่ดีนัก
อย่างไรก็ตาม ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2563 นายประลอง ดำรงไทย อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้ประชุมติดตามความก้าวหน้า "การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ การแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง" พบว่าการลดใช้เชื้อเพลิงจากโรงงาน การเผาในที่โล่งแจ้ง ทำให้ฝุ่น PM2.5 ลดลง แต่ก็ยังต้องเฝ้าระวังกันต่อไป

แนวทางการป้องกันฝุ่น PM2.5

  1. สวมหน้ากากป้องกันฝุ่น โดยหน้ากากที่สามารถป้องกันฝุ่น PM2.5 ได้ดีและมีประสิทธิภาพคือ หน้ากาก N95 ซึ่งมีราคาสูงกว่าหน้ากากอนามัย และบางคนอาจสวมแล้วอาจให้ความรู้สึกอึดอัด เพราะหายใจได้ลำบากกว่าปกติ
  2. หากไม่ใช้หน้ากาก N95 อาจใช้หน้ากากอนามัยที่มีฟิลเตอร์ 3 ชั้น ซึ่งมักมีเขียนระบุบนผลิตภัณฑ์ว่าสามารถป้องกัน PM2.5 ได้ หรือถ้าหากหาไม่ได้จริงๆ อาจใช้หน้ากากอนามัยธรรมดาแต่สวมทับ 2 ชั้น หรือซ้อนผ้าเช็ดหน้าหรือทิชชูไว้ด้านในก็ได้
  3. พยายามหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งทุกชนิดเมื่อคุณภาพอากาศอยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากจำเป็นต้องใส่หน้ากากป้องกันฝุ่นละอองเมื่ออยู่ข้างนอกอาคาร
  4. ใช้เครื่องฟอกอากาศ เนื่องจากภายในอาคารอาจไม่ปลอดภัยจาก PM2.5 เสมอไป โดยเฉพาะอาคารที่มีการเปิดปิดประตูบ่อยครั้งจากการที่มีผู้คนเข้าออกจำนวนมาก ดังนั้นเครื่องฟอกอากาศจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้หายใจในอาคารอย่างสบายใจ


ที่มา : https://www.daikin.co.th/service-knowledge/pm-2-5/

 

เขียนโดย สุพล พันอิน ที่ 19:02 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ผอ.รพ.สุรินทร์นำคณะผู้บริหารเคลื่อนไหวร่างกายผ่อนคลายกล้ามเนื้อระหว่างการประชุมคณะกรรมการบริหารโรงพยาบาล

         วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 ณ ห้องประชุมสระโบราณ นพ.ประวีณ  ตัณฑประภา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสุรินทร์ นำคณะผู้บริหารเคลื่อนไหวร่างกายผ่อนคลายกล้ามเนื้อระหว่างการประชุมคณะกรรมการบริหารโรงพยาบาล โดยมีนโยบายให้มีการทำกิจกรรมออกกำลังกายให้เป็นวาระพิเศษ ระหว่างพักเบรคการประชุมคณะกรรมการบริหาร ทุกครั้ง เพื่อส่งเสริมสุขภาพ พลานามัยดีของบุคลากร ซึ่งจะเป็นภูมิคุ้มกันโรคได้เป็นอย่างดีโดยมอบหมายให้ทีมงานกลุ่มงานสุขศึกษา รับผิดชอบนำทำกิจกรรม
เขียนโดย สุพล พันอิน ที่ 20:16 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

วันอังคารที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2561

โรงพยาบาลสุรินทร์รับสมัครงาน

โรงพยาบาลสุรินทร์รับสมัครงาน รายละเอียดตามเอกสารที่แนบมาด้วยครับ หรือดาวโหลดโหลดที่linkนี้
 http://www.surinhospital.org/…/w7FtZLpoahz1dskZ9lZw33eC8vYu…
http://www.surinhospital.org/…/9t36dexdnxfH8CCzj3ehXw4362AZ…
 








เขียนความคิดเห็น...
เขียนโดย สุพล พันอิน ที่ 22:38 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2560

ตรุษจีนนี้2560ปลอดภัยไร้ไข้หวัดนก

วันตรุษจีน จะมีชาวไทยเชื้อสายจีนจำนวนมากทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ โดยมักจะนำไก่หรือเป็ด
มาปรุงเป็นของไหว้ โดยมีการจับจ่ายซื้อของกันเป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นการลดความเสี่ยง เพิ่มความปลอดภัยจากการเกิดโรคไข้หวัดนก มีหลักปฏิบัติง่ายๆ คือ เลือก หลีก ล้าง ได้แก่ เลือกบริโภคเนื้อไก่ เป็ด และไข่ที่ปรุงสะอาด หลีกเลี่ยงนำสัตว์ปีกที่ป่วย มีอาการหงอย ซึม ขนยุ่ง หรือป่วยตาย มาประกอบเป็นอาหาร ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังสัมผัสสัตว์หรือสิ่งคัดหลั่งของสัตว์


----เลือก เป็ด ไก่  เลือกตูดสดใหม่ เนื้อไม่มีสีคล้ำ ผิวหนังหรือเครื่องในไม่มีจ้ำเลือด
ไข่  ไม่มีมูลติดเปื้อนที่เปลือกไข่

-----หลีกเลี่ยง  ไม่นำสัตว์ปีกที่ป่วยหรือป่วยตายมาประกอบอาหารเด็ดขาด

------ล้างมือ  ควรล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่ทุกครั้ง โดยเฉพาะหลังจากสัมผัสสัตว์ปีก

------------------------------------------
เขียนโดย สุพล พันอิน ที่ 19:31 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

เสตปขั้นเทพชายโชวเดี่ยว กับสาวๆที่มาในชุุดแบบนี้...ทำเอาคนดูอึ้ง!!!

ีทีมชนะเลิศ..Hand hygiene campaign for Reduce HAI ทีม oncomed โดย โดย อาคาร 10 ชั้น 2 รพ.สุรินทร์
เขียนโดย สุพล พันอิน ที่ 22:39 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
บทความที่เก่ากว่า หน้าแรก
สมัครสมาชิก: บทความ (Atom)

คลังบทความของบล็อก

  • ▼  2021 (1)
    • ▼  ธันวาคม (1)
      • โลโก้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์
  • ►  2020 (2)
    • ►  มกราคม (2)
  • ►  2018 (2)
    • ►  กุมภาพันธ์ (1)
    • ►  มกราคม (1)
  • ►  2017 (1)
    • ►  มกราคม (1)
  • ►  2016 (4)
    • ►  มกราคม (4)
  • ►  2015 (4)
    • ►  ธันวาคม (4)
  • ►  2013 (9)
    • ►  พฤศจิกายน (1)
    • ►  ตุลาคม (5)
    • ►  กันยายน (1)
    • ►  กุมภาพันธ์ (1)
    • ►  มกราคม (1)
  • ►  2012 (41)
    • ►  ตุลาคม (2)
    • ►  กรกฎาคม (14)
    • ►  มิถุนายน (4)
    • ►  พฤษภาคม (3)
    • ►  เมษายน (9)
    • ►  มีนาคม (9)

ฝากข้อความ

ฝากข้อความไว้เพื่อการปรับปรุงครับ
หน้าต่างรูปภาพ ธีม. ขับเคลื่อนโดย Blogger.