วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555
โรงพยาบาลสุรินทร์เตือนประชาชนระวังไข้เลือดออกระบาด
ดร.นพ.ธงชัย ตรีวิบูลย์วณิชย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสุรินทร์ เตือนประชาชนระวังโรคไข้เลือดออกที่กำลังระบาดในช่วงหน้าฝน แนะประชาชนเร่งกำจัดแหล่งเพาะพันธ์ของยุง โดยเฉพาะภาชนะที่มีน้ำขัง
ดร.นพ.ธงชัย ตรีวิบูลย์วณิชย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสุรินทร์ ก็ได้สั่งกำชับให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในด้านการควบคุมโรคให้เฝ้าระวังโรคไข้เลือดออกในพื้นที่อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ที่มีความใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด และได้กำชับว่าหากมีรายงานพบผู้ป่วยแม้เพียงรายเดียว หรือพบข้อมูลต้องสงสัยว่าอาจมีการแพร่ระบาดของโรคเกิดขึ้น ต้องควบคุมโรคให้ได้ภายใน 24 ชั่วโมง และให้แต่ละพื้นที่ทำการรณรงค์ให้ประชาชนทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายทุกสัปดาห์อย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนให้ชุมชนทุกแห่งจัดการสิ่งแวดล้อม เพื่อลดปริมาณยุงลายให้มากที่สุด และทำลายลูกน้ำยุงลาย พ่นสารเคมีฆ่ายุงตัวแก่ภายในบ้านและรอบบ้านผู้ป่วยในรัศมี 100 เมตร และพ่นซ้ำในอีก 7 วัน
ดร.นพ.ธงชัย ตรีวิบูลย์วณิชย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสุรินทร์ กล่าวว่า “ไข้เลือดออก” เป็นโรคที่ติดต่อกันได้โดยมียุงลายที่มีเชื้อไข้เลือดออกกัด ซึ่งยุงลายจะกัดในเวลากลางวัน โรคนี้จะมีระยะฟักตัวของเชื้อประมาณ 8-12 วัน ดังนั้นผู้ที่ถูกยุงกัดโดยเฉพาะผู้ใหญ่หากมีอาการดังต่อไปนี้ให้สงสัยไว้ก่อนว่าป่วยเป็นไข้เลือดออก คือ หลังถูกยุงกัด ประมาณ 5-8 วัน แล้วมีไข้สูงมากๆ ติดต่อกัน 2-7 วัน ปวดศีรษะ ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและกระดูก ไม่ไอและไม่มีน้ำมูกไหลเหมือนไข้หวัด แต่มีผื่นหรือจุดแดงๆ ขึ้นที่ใต้ผิวหนัง หลังไข้ลดลงแล้ว ตัวเย็น รู้สึกเพลียมากๆ เบื่ออาหาร ซึมและคลื่นไส้อาเจียน จะทำให้เกิดภาวะช็อกและเสียชีวิตได้ ต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคและทำการรักษาทันที ถ้าโรคนี้เป็นในเด็กเล็กผู้ปกครองต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะเด็กยังไม่สามารถบอกอาการตัวเองได้ ควรใช้วิธีสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เช่นหลังให้กินยาพาราเซตามอลหรือเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นเพื่อลดไข้แล้ว ภายใน 2 วันไข้ยังไม่ลด หรือเด็กร้องกวนมาก ไม่กินนม ให้สงสัยไว้ก่อนว่าเด็กอาจป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก ต้องรีบพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคและรักษาอย่างทันท่วงที และที่สำคัญการให้ยาลดไข้ ต้องใช้ยาพาราเซตามอลเท่านั้น ห้ามใช้ยาแอสไพรินอย่างเด็ดขาด เพราะถ้าป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก ซึ่งมีเลือดออกในอวัยวะภายในอยู่แล้ว เนื่องจากแอสไพรินมีคุณสมบัติต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด จะทำให้มีเลือดออกมากขึ้น เลือดหยุดยากและอาจทำให้เสียชีวิตได้
สุพล พันอิน
กลุ่มงานสุขศึกษา รพ.สุรินทร์ / ข่าว
ติดต่อ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น